วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิธีศีลมหาสนิท

   พิธีศีลมหาสนิท คือ การที่เราจะเข้ามีส่วนในพระโลหิตและพระกายของพระคริสต์
ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

   (1 โครินธ์ 10:16-17)

 16 ถ้วยแห่งพร ซึ่งเราได้ขอพรนั้นทำให้เรามีส่วนร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? 
 17 แม้เราเป็นบุคคลหลายคน แต่เนื่องจากมีขนมก้อนเดียว เราจึงเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเรารับประทานขนมก้อนเดียวกัน

   พิธีศีลมหาสนิทนั้นเป็นพิธีที่สืบเนื่องมาจากพิธีปัสกาเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ โดยพิธีนี้เป็นการแสดงออกถึงการนมัสการอันสูงสุดเพื่อระลึกและประกาศถึงการวายพระชนย์และฟื้นพระชนย์ของพระเยซูคริสต์ ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

   (1 โครินธ์ 11:23-26) 

 23 เพราะว่าเรื่องซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับพวกท่านนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหยิบขนมปัง
 24 เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงทรงหัก และตรัสว่า นี่เป็นกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา
 25 หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยอากัปกิริยาเดียวกัน ตรัสว่า ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิตของเรา จงทำอย่างนี้ คือเมื่อใดที่พวกท่านดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา
 26 เพราะว่าเมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการวายพระชนย์ขององค์พระผู้เ็ป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

   เมื่อเราจะเข้าสู่พิธีศีลมหาสนิท เราก็ต้องมีการเตรียมตัว โดยเล็งถึงพระกายของพระผู้เป็นเจ้าและจงสำรวจตัวเอง เพราะเมื่อผู้ใดได้เข้าสู่พิธีมหาสนิทอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ได้ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

   (1 โครินธ์ 11:27-32)

 27 ฉะนั้นถ้าใครกินขนมปัง หรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม เขาก็ทำผิดต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
 28 ทุกคนจงสำรวจตัวเอง แล้วจึงกินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้
 29 เพราะว่าคนที่กินและดื่มโดยไม่ได้ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็กินและดื่มเป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ
 30 เพราะเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแอและเจ็บป่วย และบ้างก็ล่วงหลับไป
 31 แต่ถ้าเราวินิจฉัยตัวเอง เราคงไม่ต้องถูกพิพากษา
 32 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาด้วยกันกับโลก


   ฉนั้นแล้วเมื่อเราได้สำรวจตัวเองและระลึกถึงพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าดีแล้ว ก็จงอธิษฐาน และกินขนมปังแล้วดื่มน้ำองุ่นด้วยใจที่แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด



   
 
 

Read More......

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิธีปัสกาหรือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ

    พิธีปัสกาหรือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ คำว่าปัสกาในภาษาฮีบรูแปลว่า "ผ่านเว้น"
  เป็นการระลึกถึงวันที่ประเจ้าทรงปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ โดยพระองค์ทรงทำให้เกิดภัยพิบัติ 10 อย่าง ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

  ภัยพิบัติจากโลหิต (อพยพ 7:17-19)

17 พระเจ้าตรัสังนี้ว่า ท่านจะทราบว่า เราคือพระเจ้าโดยอาศัยการกระทำดังนี้ เราจะเอาไม้เท้าที่ถือไว้นั้นฟาดลงน้ำลงในแม่น้ำไนล์ น้ำนั้นจะกลายเป็นโลหิต
18 ปลาซึ่งอยู่ในแม่น้ำไนล์จะตายและแม่น้ำจะเหม็น จนชาวอียิปต์ดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์ไม่ได้
19 พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสอีกว่า จงบอกอาโรนว่า เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำแห่งอียิปต์ คือเหนือแม่น้ำลำคลอง บึง และสระทั้งหมดของเขา น้ำจะกลายเป็นโลหิต จะมีแต่โลหิตตลอดอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้หรือภาชนะหิน

  ภัยพิบัติจากกบ (อพยพ 8:1-4)

1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ไปหาฟาโรห์บอกว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา
2 ถ้าไม่ยอม เราจะให้ฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วเขตแดนของท่าน
3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำไนล์ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนมปัง และในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
4 ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวฟาโรห์ ที่ตัวพลเมืองและที่ตัวข้าราชการทั้งปวงของท่าน

  ภัยพิบัติจากริ้น (อพยพ 8:16-17)

16 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า บอกอาโรนว่า เอาไม้เท้าตีฝุ่นดินให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปห์
17 เขาทั้งสองก็กระทำตาม อาโรนเหยียดมือออกยกไม้เท้าตีฝุ่นดิน ก็มีริ้นมาตอมมนุษย์และสัตว์ ฝุ่นดินทั้งหมดกลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์

   ภัยพิบัติจากเหลือบ (อพยพ 8:21)

 21 ถ้าแม้ไม่ปล่อยประชากรของเราไป เราจะใช้ให้ฝูงเหลือบมาตอมกายของเจ้า ตอมข้าราชการและพลเมืองของเจ้าด้วย ฝูงเหลือบจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของชาวอียิปต์ พื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ

   ภัยพิบัติที่้เกิดกับฝูงสัตว์ (อพยพ 9:3-4)

 3 หัตถ์ของพระเจ้าจะทำให้ฝูงสัตว์ในทุ่งนา ฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงโค และฝูงแพะแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรงขึ้น
 4 แต่พระองค์จะทรงกระทำกับฝูงสัตว์ของชนชาติอิสราเอลต่างกับฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์ สัตว์ของอิสราเอลจะไม่ตายเลย

   ภัยพิบัติจากฝี (อพยพ 9:8-9)

 8 พระเจ้าตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า เจ้าจงกำเขม่าจากเตาให้เต็มกำมือ แล้วให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์
 9 เขม่านั้นจะกลายเป็นฝุ่นปลิวไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทำให้เกิดฝีแตกลามทั้งตัวคนและสัตว์ทั่วแผ่นดินอียิปต์

   ภัยพิบัติจากลูกเห็บ (อพยพ 9:18-24)

 18 ดูนะพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้เราจะให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยมีในอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านเรือนมาจนบัดนี้
 19 เหตุฉนั้น จงให้ต้อนฝูงสัตว์ และบรรดาผู้ที่อยู่ในทุ่งนาให้เข้าที่กำบัง เพราะคนทุกคน และสัตว์ทุกตัวในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้าน จะถูกลูกเห็บตายหมด
 20 บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ที่เกรงกลัวพระดำรัสของพระเจ้า ก็ให้ทาสและสัตว์ของตนกลับเข้าบ้าน
 21 แต่ผู้ที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระเจ้าก็ยังคงปล่อยให้ทาสและสัตว์ของตนอยู่ในทุ่งนา
 22 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงชูมือขึ้นยังท้องฟ้า เพื่อลูกเห็บจะได้ตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์  บนมนุษย์ บนสัตว์ และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์
 23 โมเสสก็ชูไม้เท้าขึ้นยังท้องฟ้า แล้วพระเจ้าทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าีร้อง มีลูกเห็บและไฟตกลงมาทั่วแผ่นดิน
 24 มีลูกเห็บกับไฟแลบ ลูกเห็บตกหนักยิ่งนักอย่างที่ไม่เคยมีในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มตั้งเป็นชาติมา

  ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน (อพยพ 10:4-6)

 4 ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า
 5 ฝูงตั๊กแตนนั้นจะมาลงเต็มไปหมดจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด
 6 มันจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของข้าราชการ และในบ้านเรือนของชาวอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวด ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย แล้วโมเสสก็ออกไปจากวังฟาโรห์

   ภัยพิบัติจากความมืด (อพยพ 10:21-22)

 21 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแฝ่นดินอียิปต์ เป็ความมืดจนจับคลำได้
 22 โมเสสจึงชูมือขึ้นเหนือท้องฟ้า แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไป ในแผ่นดินอียิปต์ตลอดสามวัน

   พยากรณ์เรื่องมรณกรรมของลูกหัวปี (อพยพ 11:4-6)

 4 โมเสสประกาศว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เวลาประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปท่ามกลางอียิปต์
 5 และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งโม้แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย
 6 แล้วจะมีการพิลาปร้องไห้ทั่วแผ่นดินอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อนและต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีอีกเลย

    ดังนั้นแล้วพระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสและอาโรนถึงพิธีปัสกาเพื่อให้บ้านไหนที่ทำตามนั้นจะไม่เป็นอันตราย ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

   (อพยพ 12:3-7)

 3 จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคนเตรียมลูกแกะครอบครัวละตัว ตามตระกูลของตน

 4 ถ้าครอบครัวใดมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันเตรียมลูกแกะตัวหนึ่งตามจำนวนคนตามที่เขาจะกินได้กี่มากน้อย ให้นับจำนวนคนที่จะกินลูกแกะนั้น
 5 ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิเป็นตัวผู้อายุไม่เกินหนึ่งขวบ เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
 6 จงเก็บไว้ให้ดีถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเย็นวันนั้น ให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าลูกแกะของเขา

 7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย

   แล้วพระเจ้าก็ได้ทำกำหนดให้วันนั้นกลายเป็นวันที่ระลึกถึงพระเจ้า 
ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้ 

   (อพยพ 12:14)

 14 วันนี้จะเป็นวันระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายถือไว้เป็นเทศกาลแด่พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงฉลองเทศกาลนี้และถือเป็นกฎถาวร

   จากนั้นพระเจ้าก็ทรงตรัสให้เป็นวันกินขนมปังไร้เชื้อด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ดังนี้

  (อพยพ 12:15-18) 
  
 15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากอิสราเอล
 16 ในวันแรกนั้นให้มีการประชุมบริสุทธิ์ วันที่เจ็ดก็ให้มีการประชุมบริสุทธิ์ ในวันนั้นอย่าให้ผู้ใดทำงานเลย เว้นไว้แต่การจัดเตรียมอาหารสำหรับรับประทาน
 17 เจ้าทั้งหลายจงถือพิธีเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนั้น เราได้นำพลโยธาของเจ้าทั้งหลายออกไปขากแผ่นดินอียิปต์ เหตุฉะนี้ เจ้าจงฉลองวันนี้ และถือเป็นกฎถาวะชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
 18 ในตอนเย็นวันที่สิบสี่เดือนแรก เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อจนถึงเวลาเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนนั้น

   และนี่ก็คือเรื่องราวและที่มาของพิธีปัสกาหรือเทศกาลกาลกินขนมปังไร้เชื้อ 

   


       
         

Read More......

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิธีบัพติศมา

    บัพติศมา ในภาษากรีกหมายถึง "การจุ่ม" หรือ "การเข้ามีส่วน"
พิธีบัพติศมานั้นจะทำให้กับผู้ที่ปรารถนาจะละทิ้งวิถีชิวิตแบบเดิมๆและหันมาติดตามพระเจ้า
ดังนั้นแล้วผู้ที่สมควรจะได้รับบัพติศมาก็คือผู้ที่กลับใจใหม่และเต็มใจเชื่อในพระเจ้า
    ดังที่มีข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

(กิจการ 2:38)
    38 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ในพระนามแห้งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านเสีย แล้วท่านจะได้รับพระราชทานพระวิญญาณบริสุทธิ์
(กิจการ 8:36-37)
    36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา
    37 และฟีลิปจึงตอบว่า ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้ และขันทีจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า

ส่วนผู้ที่ให้บัพติศมาก็คือ "เหล่าสาวกของพระเยซู" 
    ดังที่มีข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

(มัทธิว 28:18-20)
    18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว
    19 เหตุฉนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
    20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค

    พิธีรับบัพติศมานั้นจะทำโดยการจุ่มตัวเองลงไปให้มิดน้ำทั้งตัวไม่ใช่เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ฉนั้นแล้วผู้ที่รับบัพติศมาจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการแสวงหาพระเจ้าและเอาใจใส่ต่อสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
    ดังที่มีข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า

(โคโลสี 3:1-3)
    1 ถ้าท่านรับการทรงชุบให้เป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์ทรงสถิตอยู่คือประทับข้างขวาของพระเจ้า
    2 จงเอาใจใส่สิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งซึ่งอยู่ที่แผ่นดินโลก
    3 เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า

    เพราะการรับบัพติศมาคือการละทิ้งวิถีชีวิตเดิมๆและหันมาติดตามพระเจ้าแล้ว พวกเราทุกคนที่เชื่อและกลับใจเข้ามาหาพระเจ้าก็จงปฏิบัติตนตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ศึกษาพระคัมภีร์ และที่สำคัญก็คือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด "การสรรเสริญพระเจ้า" 

    

Read More......